บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พุทธคุณ – สุคโต

ในบทความนี้ มาฟังคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “สุคโต” .ในบทสวดสรรเสริญพุทธคุณต่อไป

ในบทความชุดนี้ ผมจะนำเนื้อหาของหลวงพ่อวัดปากน้ำลงไปเป็นส่วนๆ ถ้าจะมีคำอธิบายเพิ่มเติม ผมจะพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีดำ  ส่วนเนื้อหาของหลวงพ่อวัดปากน้ำจะเป็นตัวอักษรสีน้ำเงิน

สุคโต แปลได้เป็นหลายนัยเช่นว่า ไปดีแล้ว ไปสู่ที่ดีหรือทรงพระดำเนินงาม

ที่ว่าไปดีแล้วหมายถึงว่า พระองค์ประพฤติดีทั้ง กาย วาจา ใจ คือ กายเป็นสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ประพฤติสม่ำเสมอ มาเป็นอเนกชาติ

ดับขันธ์จากชาติหนึ่งก็ไปสู่ สุคติทุกชาติไม่ไปสู่ทุคติเลย อย่างนี้ก็เรียกว่า สุคโต ไปดีแล้วนัยหนึ่ง

ตรงนี้ขออธิบายเกี่ยวกับวิชาธรรมกายเพิ่มเติม

ในการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เสี่ยงมาก เพราะ โอกาสที่เราจะได้ไปอยู่บนสวรรค์นั้นน้อยมาก พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า มนุษย์นั้น ตายไปแล้วไปสวรรค์ประมาณเขาวัว แต่ที่ลงนรกหรือไปอบายภูมินั้น เท่ากับขนวัว

พูดง่ายๆ ก็คือ มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น โอกาสที่จะขึ้นสวรรค์มีเพียงร้อยละ 00.01 เท่านั้น ที่เหลืออีกร้อยละ 99.99 ไปนรกกันหมด

ถ้าพวกหัวหมอบอกว่า อย่างนั้นก็อย่ามาเกิดเป็นมนุษย์ ขอเกิดเป็นเทวดาตลอดไป  มันก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะ ทุกคนต้องมาสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ หลีกเลี่ยงไม่ได้

หนทางที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ก็คือ ในการเกิดมาแต่ละครั้ง ต้องรักษาตัวให้รอด อย่าให้ตกนรกได้  อย่างเลวร้ายที่สุด ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่

หมายถึงว่า ความดีที่ทำไม่พอสำหรับการขึ้นสวรรค์  พูดง่ายๆ ก็คือ อย่างเลวร้ายที่สุดก็ขอให้เสมอตัวเอาไว้ก่อน

เท่าที่ศึกษามาทั้งหมด  นักปริยัติธรรมไม่รอด ผู้ปฏิบัติธรรมสายอื่นๆ ไม่รอด  มีรอดสายเดียวคือ สายวิชาธรรมกายเท่านั้น ที่สามารถทำได้อย่างนั้น

พระองค์ดำเนินกาย วาจา ใจ ไปในแนวอริยมรรค ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน ซึ่งย่อลงเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

พระองค์เดินทางศีลเป็นเบื้องต้น ศีลมีประเภทจำแนกละเอียดไว้มากมาย รวมเข้าเป็นวินัยปิฎก ถึง ๕ พระคัมภีร์ รวมยอดเข้าเป็นปฐมมรรค

ปฐมมรรคเป็นดวงใสอยู่ในกึ่งกลางกาย นั้นแหละรวมยอดมาจากศีล นี่แหละตัวศีลสุคโต

ในทางศีลพระองค์เดินทางในไปหยุด อยู่ตรงดวงปฐมมรรคนั้น หยุดสงบจนราคะ โทสะ โมหะ อภิชฌา พยาบาทเข้าไม่ได้ ไม่มีอะไรเข้าไปทำให้ขุ่นมัว จึงใสดุจกระจกส่องเงาหน้า

ตรงนี้ขอเปรียบเทียบกับการปฏิบัติธรรมของสาวกพระพม่า  สาวกพระพม่าสอนว่า ให้ทำความรู้สึกอยู่กับตัวเองเป็นปัจจุบัน  

ถ้าร่างกายเคลื่อนไหวก็จับความรู้สึกอยู่กับร่างกาย  ถ้าร่างกายไม่เคลื่อนไหว ก็จับความรู้สึกอยู่กับใจ  แล้วบอกว่า กิเลสไม่สามารถเกิดขึ้นได้

การปฏิบัติธรรมของพระพม่านั้น ใจจึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้เลย เพราะ ต้องคิดตามอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น กิเลสที่จะกำจัดได้มีน้อยตัวมาก กำจัดได้เฉพาะกิเลสหยาบๆ เท่านั้น

สำหรับวิชาธรรมกายนั้น เมื่อเห็นดวงปฐมมรรคแล้ว  ใจจะจดจ่ออยู่กับดวงใสสว่างนั้น กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลางไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

เรียกได้ว่า ป้องกันกิเลสอย่างหยาบ กับอย่างกลางได้อย่างเด็ดขาด เหลือแต่เพียงกิเลสอย่างละเอียด ประเภทอนุสัยเท่านั้น  ซึ่งต้องปฏิบัติให้สูงขึ้นไป จึงจะสามารถกำจัดได้

ก็เข้าขั้นสมาธิหยุดนิ่ง จน มี รู้ผุดขึ้นเรียกว่า ปัญญาหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น เป็นทำนองเดียวกันตั้งแต่ กายทิพย์รูปพรหมอรูปพรหมจนถึงธรรมกาย

เมื่อธรรมกายหยุดนิ่งจิตของธรรมกายเป็นมรรคจิต ญาณธรรมกายเป็นมรรคปัญญา ธรรมกายเข้าสมาบัติ ดูอริยสัจต่อไป

ดวงใสถึงขนาด ตกศูนย์แล้วกลับเป็นโสดาบันบุคคล แล้วเป็นสกทาคาอนาคาโดยทำนองเดียวกัน จนธรรมกายอนาคาตกศูนย์ จึงเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็เรียก สุคโต

อีกนัยหนึ่งว่า เขมังทิสังคัจฉมาโน แปลว่า ไปอยู่สู่แดนอันเกษม กล่าวคือนิพพาน คือเมื่อธรรมกายเพ่งเล็งถูกส่วน ตกศูนย์มีอายตนะอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า อายตนนิพพานดึงดูดธรรมกายที่ตกศูนย์นั้นเข้านิพพานอยู่เนืองนิตย์

แม้ในขณะมีพระชนม์อยู่ ชื่อว่าไปอยู่สู่แดนเกษมประการหนึ่ง

เมื่อจะดับขันธ์พระองค์เข้าสมาบัติ อายตนนิพพานดึงดูดเข้าสู่นิพพานไป นี่ก็เรียกว่าไปสู่แดนอันเกษมซึ่ง อยู่ในความหมายว่า สุคโต

ตรงนี้ขออธิบายเรื่องการบรรลุพระอรหันต์อีกครั้งหนึ่ง 

ในขณะที่สายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ไม่สามารถอธิบายได้ว่า อายตนะนิพพานเป็นอย่างไร เพราะ ไม่มีใครไปได้  จะไปได้ก็ตอนตัวเองเป็นพระอรหันต์

ถามจริงๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ตนเองไปอุบัติอยู่นั้นคือ อายตนะนิพพานจริงๆ เพราะ เพิ่งเข้าไปเพียงหนเดียว

ในทางวิชาธรรมกายนั้น แค่วิชา 18 กายเราก็ไปอายตนะนิพพานได้แล้ว เป็นการไปอย่างชั่วคราว และเห็นนิพพานแบบจำกัด

เมื่อวิชาพัฒนาสูงขึ้น การเห็นนิพพานก็จะเห็นมากขึ้น รู้จักมากขึ้น แต่ก็ต้องกลับมาในโลกมนุษย์อีก

เมื่อถึงคราวที่จะบรรลุพระอรหันต์จริงๆ  ในสายวิชาธรรมกายจึงรู้ว่า ตนเองบรรลุแล้ว เพราะ ไม่ต้องถอนถอยวิชาออกมาสู่กายมนุษย์อีก 

ใจอยู่กับกายธรรมพระอรหัตละเอียดตลอดไป

สุคโต ที่แปลว่า ทรงพระดำเนินงาม หมายถึงว่า เมื่อครั้งจะทรงพระดำเนินไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ยังป่าอิสิปตนะนั้น ทรงเดินไปด้วยย่างพระบาท มีฉัพพรรณรังสีรุ่งโรจน์

จนแม้แต่ว่าสัตว์จตุบททวิบาทที่มาแลเห็นก็งงงันหยุดนิ่งตะลึงไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ทรงพระดำเนินงาม

สุนฺทรฐานํคตตฺตา ที่ว่า สุคโต เพราะอรรถว่า ไปสู่ที่ไหนดีที่นั่น ดังเช่นครั้งเมื่อเมืองไพสาลีเกิดไข้ทรพิษระบาดไปทั่วเมือง ผู้คนล้มตายกันมากจนหาคนจะ เก็บศพจะฝังไม่ได้ถึงกับปล่อยให้เน่าคาเรือน

พวกเจ้าลิจฉวีประชุมกันให้ไปเชิญพระองค์ พระองค์มาถึงฝั่งแม่น้ำข้างหนึ่งเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงทรงประทับยับยั้งอยู่

ในคืนนั้นเทวดาทั้งหลายรู้ว่า รุ่งขึ้นพระศาสดาจะเสด็จข้ามฟากไปสู่นครไพสาลี เห็นว่าที่นั่นอากูลไปด้วยซากศพจึงประชุมกันให้วัสสวลาหกบันดาลให้ฝนตกลงมากมาย จนถึงเป็นกระแสน้ำพัดซากศพเหล่านั้นไปหมดสิ้นก่อนเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปถึง

เมื่อพระองค์เสด็จข้ามฟากไปถึงนครไพสาลีก็สะอาดหมดจดแล้ว พวกเจ้าลิจฉวีถวายอาหารบิณฑบาต

ทรงเจริญพระปริตร และให้พระอานนท์เอาน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรมด้วยใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์ อมนุษย์ก็ปลาสนาการไปหมดโรคภัยก็สงบดังนี้ก็ได้ชื่อว่า สุคโต

ตรงนี้ก็ขอเพิ่มเติมด้วยวิชาธรรมกายจากประสบการณ์อีก

ในการไปประชุมประจำเดือนเพื่อนรายงานผลการทำงานนั้น  วิทยากรกลุ่มหนึ่งจะไปตั้งแต่วันเสาร์ เพราะ มีพิธีถวายอาหารทะเล  พวกนี้ก็จะค้างคืนที่จันทบุรี 1 คืน ผมอยู่ในกลุ่มนี้

ตอนเย็นเรามักจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน  มีวิทยากรมาบอกผมว่า  ถ้าพวกเราไปกินข้าวร้านไหน แป๊บเดียวก็จะมีคนมากินเต็มร้านไปหมด

นี่หมายความว่า วิทยากรเลือกร้านอาหารที่ดีพอสมควรด้วยนะ  เพราะ ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง มีเงินพอสมควร

ท่านผู้นั้นบอกว่า เป็นเพราะบารมีของวิทยากร  ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า เพราะอย่างที่กล่าวแล้ว เราก็เลือกร้านอาหารที่อร่อยอยู่แล้ว

เมื่อมีข้อสงสัยเกิดขึ้น ก็ต้องไปถามคุณลุง  คุณลุงอธิบายอย่างนี้

วิทยากรเป็นกลุ่มคนที่มีบารมีสูงมาก เพราะ ไปสอนคนให้เห็นดวงธรรม กายธรรมได้  การที่วิทยากรไปที่ไหน ก็เป็นมงคลต่อที่นั้นๆ จึงทำความสุข ความสวัสดีให้แก่ร้านค้าต่างๆ

ในทางส่วนตัวของผมเอง  เมื่อผมไปซื้อของกินร้านใด พ่อค้าแม่ค้าจะยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบเห็นได้ชัดเจน

ผมก็ไม่กล้าถามพวกเขาว่า วันไหนผมมาซื้อของกิน แล้วร้านขายของดีขึ้นใช่หรือไม่  แต่ผมคิดว่า คงเป็นอย่างนั้น





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น