บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เทศน์ที่วัดมหาธาตุ

หลวงพ่อวัดปากน้ำเทศน์ที่วัดมหาธาตุ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๐

พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺต มหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ องค์ที่  ๑๕ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง และปฐมสภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยท่านมีความตั้งใจ และทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนาส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุและสามเณร ทั้งการศึกษาพระไตรปิฎก  และวิชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา (การปฏิบัติสมถวิปัสสนา)

จากเรื่องราวใน สมเด็จป๋า เล่าเรื่อง "หลวงพ่อวัดปากน้ำ" ทำให้ทราบว่า พระเดชพระคุณพระพิมลธรรม  ฐานทตฺต  นั้น ท่านชอบพอกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จฺนทสโร) และพอใจการปฏิบัติด้วย

ท่านเคยพูดว่า ท่านพระครูวัดปากน้ำถึงมีข่าวอกุศลอย่างไรก็ดี มีคนมาขอปฏิบัติธรรมเจริญพระกัมมัฏฐานทุกวัดน่าจะทำตามบ้าง

เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๐ ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม เจ้าอาวาส  และอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุได้มีหนังสือมาอาราธนาหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ไปแสดงธรรมเป็นพิเศษที่วัดมหาธาตุและกำหนดเรื่องว่าให้ท่านแสดงเรื่องกัมมัฏฐาน ซึ่งข้าพเจ้า (พระทิพย์ปริญญา) เองได้ฟังอยู่ด้วย จำมาได้เล็กน้อยจึงนำมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นเลา ๆ ดังต่อไปนี้

ในวันที่กล่าวนี้ เวลา ๑๖.๐๐ น. ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุเมื่อภิกษุสามเณรวัดนั้น ซึ่งมีพระคุณพระพิมลธรรมเป็นประธานได้ทำวัตรนมัสการพระเสร็จแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์ ในท่ามกลางหมู่ภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก  จนล้นอาสนะที่มีอยู่ตามปกติลงมาถึงพื้นพระอุโบสถ นอกนี้ยังมีอุบาสกอุบาสิกาอีกที่พากันมาประชุมฟัง


ในการแสดง ท่านยกบาลีในพระสูตรว่าด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะเป็นหลัก แล้วอรรถธิบายว่าศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเหตุ วิมุตติ  วิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล ศีลเป็นกัมมัฏฐานอันหนึ่งซึ่งจัดไว้ในข้อที่ ๒๔ ของกัมมัฏฐาน ๔๐

กัมมัฏฐาน แปลว่าที่ตั้งมั่นของการกระทำ

สมาธิก็เป็นกัมมัฏฐานอันหนึ่งซึ่งจัดไว้ในกัมมัฏฐาน ๔๐ เป็นนิสสกนัยเจือได้ทุกข้อ

ศีลอยู่ไหน สมาธิอยู่นั่น สมาธิอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่นปัญญาอยู่ที่ไหน  วิมุตติอยู่ที่นั่นวิมุตติอยู่ที่ไหน วิมุตติญาณทัสสนะอยู่ที่นั่น

ศีลที่เป็นกัมมัฏฐานนั้น เพราะศีลเป็นที่ตั้งของการกระทำให้บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ บริสุทธิ์กาย วาจา เป็นเจตนาศีล บริสุทธิ์ใจ เป็นเจตสิกศีล

ศีลซึ่งจัดไว้ในคัมภีร์ใด ๆ จะเป็นศีลของคฤหัสถ์หรือศีลของบรรพชิตก็ดี  ไม่อื่นไปจากบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ซึ่งได้จัดไว้ในวิสุทธิมรรคว่า บริสุทธิ์กาย วาจาเป็นเจตนาศีล บริสุทธิ์ใจเป็นเจตสิกศีล  บริสุทธิ์ไตรทวาร เป็นแต่อาการของศีลเท่านั้น ยังไม่เป็นที่ตั้งของสมาธิได้ ที่จะเป็นที่ตั้งของสมาธิได้ ต้องเป็นศีลกัมมัฏฐาน คือศีลานุสสติ ระลึกเนือง ๆ ซึ่งศีลนี้เป็นที่ตั้งของสมาธิได้

สีลมฺปิ สิกฺขติ แปลว่าศึกษาศีล การศึกษาให้รู้จักศีล  เมื่อรู้จักศีลแล้วจะได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์แล้ว  จะได้ระลึกถึงความบริสุทธิ์นั้นเนือง ๆ

ความบริสุทธิ์นั้นอยู่ตรงไหน? อยู่ตรงกำเนิดเดิม

กำเนิดเดิมอยู่ตรงไหน? อยู่ที่สิบ

ที่สิบอยู่ตรงไหน? อยู่ตรงกลางกาย

กลางกายอยู่ตรงไหน? ตัดขาดแค่สะดือ เรียบเหมือนหน้ากลอง แล้วบังเวียนเข้ามาถึงจุดศูนย์กลาง ว่างมีอยู่เท่าเมล็ดโพธิ์หรือเมล็ดไทร (คือสมมติขึงเส้นด้วยจากสะดือทะลุหลังไปเส้นหนึ่ง จากเอวขวาทะลุเอวซ้ายไปเส้นหนึ่ง ภายในตัวนั้นจะเป็นเส้นด้ายพาดตัดกันเป็นรูปกากบาท ตรงนั้นแหละเรียกว่าศูนย์กลางกาย  เหลือกตากลับมองเข้าไปในตัวตามดู หลอดลมที่เรากลืนอาหารลงไปเป็นรูกลวง ๆ เอาใจไปจรดอยู่ตรงศูนย์กลางกายที่เส้นด้ายตัดกันเป็นรูปกากบาทนั้น) ตรงนั้นแหละเป็นกำเนิดเดิม

เมื่อแรกเกิดในครรภ์นั้น เป็นที่ตั้งของใจ เป็นที่หยุดของใจ เมื่อใจหยุดแล้ว ลมก็หยุด ดุจพระเข้านิโรธ ใจหยุดเรียกว่าสันติ ลมหยุดเรียกว่า อนาปาน

สันติกับอนาปาเป็นธรรมอาศัยกัน คือ ใจหยุดลมก็หยุด ลมหยุดใจก็หยุด อปุพฺพํ อจริมํ ไม่ก่อนไม่หลังกัน

คำว่าใจ กับ ลม ทั้งสองนี้ ลมพอจะรู้จักว่าลมหายใจเข้าออก ส่วนใจนั้นไม่รู้จักว่าอะไร ต้องพูดถึงใจต่อไป

คำว่า ใจหมายถึงความเห็น  ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างนี้รวมกันเรียกว่าใจ เหมือนรูปก็เป็นคำรวมธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ อย่างรวมกันเรียกว่า รูป

นาม ก็เหมือนกัน เป็นคำรวม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๔ อย่างรวมกันเรียกว่า นาม

ใจก็เช่นเดียวกัน เห็นอย่างหนึ่ง  จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่งรู้อย่างหนึ่ง  รวม ๔ อย่างนี้เรียกว่าใจ

ใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญในตัวเรา สิ่งอื่นจะสำคัญยิ่งกว่าใจเป็นอันไม่มี ตามบาลีได้กล่าวไว้ว่า มโนปุพฺพงคมา ธมฺมาฯ ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐกว่า สำเร็จแล้วด้วยใจ

ถ้าใจชั่ว การทำก็ชั่ว การพูดก็ชั่ว  การคิดก็ชั่ว  ถ้าใจดี การทำก็ดี การพูดก็ดี การคิดก็ดี แล้วแต่ใจนี้

การทำใจให้หยุดเป็นของทำได้ยากแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน คนมีความเพียรทำไม่ยาก การทำใจให้หยุดนั้น จะให้หยุดตรงไหน?

ให้หยุดที่กำเนิดเดิม

หยุดเหมือนอะไร? เหมือนนายสารถีห้ามล้อรถไม่ให้พ้นขีดหมายไปได้  ใจกับกำเนิดเดิมอย่าให้ละจากกันและกันได้

ใจเป็นศีลหรือกำเนิดเดิมเป็นศีล?

ใจก็หาใช่ศีลไม่ กำเนิดเดิมก็หาใช่ศีลไม่ แต่ก็ไม่อื่นจากศีล ศีลอาศัยใจและกำเนิดเดิมประกอบถูกส่วนกันเข้าเกิดขึ้น  เหมือนไม้สีไฟตะบันไฟ ไม้ขีดไฟ ประกอบถูกส่วนกันเข้าก็เป็นไฟขึ้นได้ นี้ศีลตามข้อศึกษา

ส่วนศีลตามข้อปฏิบัติ เมื่อประกอบถูกส่วนเข้าก็จะเกิดเป็นดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่ หรือเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใสบริสุทธิ์สนิทเหมือนกระจกเงาส่องหน้า

เมื่อเห็นตามข้อปฏิบัติดังนี้แล้วให้เอาใจหยุดอยู่ที่กลางดวงศีลที่เห็นนั้นให้ชำนาญในอิริยาบถทั้ง ๔ นั่ง นอน เดิน ยืน  นั่งก็เห็น  นอนก็เห็น เดินก็เห็น ยืนก็เห็นอยู่เสมอไม่ให้หายไป

ดวงใสนั้นตั้งอยู่เหนือกำเนิดเดิมราว ๒  นิ้ว เมื่อเห็นดวงศีลแล้วในกลางดวงศีลนั้นมีดวงสมาธิ ในกลางดวงสมาธินั้นจะมีดวงปัญญา ในกลางดวงปัญญาจะมีดวงวิมุตติ  ในกลางดวงวิมุตตินั้นจะมีดวงวิมุตติญาณทัสสนะ  ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั้นจะมีกายมนุษย์หยาบ

กลางกายมนุษย์หยาบนั้นจะมีดวงศีล ฯลฯ

ท่านได้ชักอุปมาการประกอบสมาธิเหมือนการสีไฟ และชักนิยายเทียบว่า ฤษีตนหนึ่งเมื่อจะไปป่าให้ลูกศิษย์เฝ้าอาศรมแล้วสั่งว่า ไอ้หนู...ระวังไฟในเตาไว้ให้ดี อย่าให้ดับนะ ถ้าดับ ไม้สีไฟอยู่ในกระบอกนั้น”  

ครั้นแกไปแล้ว ไอ้เจ้าเด็กนั่นมัวเล่นเพลิน ไฟในเตาดับ  เด็กน้อยกลัวพระเจ้าตากลับมาจะเฆี่ยนเอาก็ไปเอาไม้สีไฟในกระบอก มาดูว่าไฟอยู่ที่ไหน  ดูทั่วแล้วก็ไม่เห็นไฟก็คิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไฟ

จึงเอามีดมาผ่าไม้สีไฟนั้นเป็นสองซีกก็ไม่เห็นมีไฟปรากฏ จึงผ่าซอยละเอียดออกไปอีกเป็น ๔ ซีก ก็ไม่เห็นไฟ ผ่าไปอีก ๑๖ ซีก ก็ไม่เห็นไฟ หมดปัญญาเลยเอาไม้ ๓๒ ซีกมารวมกันแล้วใส่ครกตำจนละเอียด เอาออกมาโปรยก็ไม่เห็นไฟ

ตกตอนเย็น  ตาฤษีกลับมาไม่เห็นไฟ แล้วซักไซ้ถามดู เด็กนั้นก็เล่าความตามเป็นจริงให้ฟังโดยตลอด

ฤษีจึงกล่าวว่าเจ้ามันโง่ ใครเขาสอน...ให้หาไม้มาใหม่ ๒ อัน แล้วเอามาถูกัน แล้วสอนว่าการสีไฟเกิดขึ้นเขาไม่เอามาผ่าหาไฟในไม้อย่างเจ้านี้ดอก จำไว้
ตัวอย่างที่อุปมานี้บ่งให้เห็นถึงการปฏิบัติกิจภาวนา ที่ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า อาตาปี สมฺปชาโน สติมา นั้นแปลเป็นใจความในทางปฏิบัติว่า ประกอบด้วยความเพียร ๑ รู้ตัวอยู่เสมอ ๑ ไม่เผลอ ๑

วิเนยฺยโลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ คอยระวังอย่าให้เกิดความอยากได้ และการเสียใจเมื่อยังไม่ได้  ต้องทำจิตให้เป็นอุเบกขาไว้ ให้สมกับบาลีว่า อุเปกฺขา สติปาริสุทธิง

นอกจากนี้ยังอธิบายถึงฌานว่า ไปที่สุดจนถึงตอนพระพุทธเจ้าได้ทรงเพิกฌานเพิกกสิณ แล้วตัดเข้าหาอาณาปานสติอย่างไร  กว่าจะจบประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ

เมื่อเทศน์จบแล้ว เจ้าคุณพระพิมลธรรมได้ออกปากชมเชยต่อหน้าข้าพเจ้าว่า ท่านเทศน์ดีมาก ยกพระสูตรมาแปลและอธิบายได้คล่องแคล่ว

คุณพระทิพย์ปริญญา ท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า เท่าที่ท่านเคยพบปะมา พระที่เป็นฝ่ายสมถะ มักไม่ใคร่แสดงธรรม พระที่แสดงธรรมโดยมากเป็นฝ่ายปริยัติ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำนี้ ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ชอบแสดงธรรมโดยความที่ท่านเป็นนักปริยัติมาแต่เก่าก่อน

แล้วแนวการแสดงธรรมในเบื้องต้น แต่ละกัณฑ์ ฯ ระวังบาลีมิให้คลาดเคลื่อนและแปลเป็นข้อ ๆ ไปก่อน แล้วจึงจะขยายความชี้แนวปฏิบัติ ท่านแสดงธรรมอยู่ในหลักนี้เสมอ ไม่ใช่นึกว่าเอาตามใจชอบ ถ้าจะยกอะไรขึ้นเป็นต้องอ้างอาคตสถานที่มาแห่งธรรมเหล่านั้นประกอบด้วย
ด้วยเกียรติคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดที่ท่านดูแลเอาใจใส่ให้ภิกษุสามเณรมีการศึกษาดี มีการปฏิบัติดี กาลต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณพระพิมลธรรม ได้ทำเรื่องขอแต่งตั้งพระครูสมณธรรมสมาทาน วัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) เป็นอุปัชฌายะไม่ช้าหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ คณะวัดปากน้ำมีความชื่นชมยินดี กุลบุตรพากันมาบรรพชาอุปสมบทในสำนักวัดปากน้ำทวีขึ้น

............................
หนังสืออ้างอิง

พระครูภาวนามงคล. (2546). ตามรอยธรรมกาย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.พี.เค. เปเปอร์ แอนด์ ฟอร์ม. (หน้า 398-404).



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น