บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พุทธคุณ – วิชชา [1]

ในบทความนี้ มาฟังคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “วิชชา.ในบทสวดสรรเสริญพุทธคุณต่อไป

ในบทความชุดนี้ ผมจะนำเนื้อหาของหลวงพ่อวัดปากน้ำลงไปเป็นส่วนๆ ถ้าจะมีคำอธิบายเพิ่มเติม ผมจะพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีดำ  ส่วนเนื้อหาของหลวงพ่อวัดปากน้ำจะเป็นตัวอักษรสีน้ำเงิน

คำว่า วิชฺชาจรณ สมฺปนฺโนหลวงพ่อวัดปากน้ำแปลว่า พระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คุณวิเศษของพระพุทธองค์เกี่ยวกับวิชชา หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้ดังนี้

อะไรเรียกว่า “วิชชา?”  “วิชชา” ในที่นี้หมายเอาความรู้ที่กำจัดมืดเสียได้  มืดคืออะไร

ในที่นี้หมายเอาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตรงกันข้ามกับอวิชชา ที่แปลว่า “ไม่รู้”  คือ ไม่รู้ถูกหรือผิด เพราะว่า เข้าไปยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน จึงมืดมนไม่รู้ไม่เห็นของจริง คือ นิพพาน

ข้อสำคัญอยู่ที่ “อุปาทาน” ซึ่งแปลว่า ยึดมั่นคือ ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ถ้ายังตัดอุปาทานไม่ได้ตราบใด ก็คงมืดตื้ออยู่อย่างนั้น

ตัดอุปาทานได้ มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า หรือพูดให้ฟังง่ายกว่านี้ก็ว่า เมื่อตัดอุปาทานเสียได้ จะมองเห็นนิพพานอยู่ข้างหน้า

ตรงนี้ขอชี้ให้เห็นความบกพร่องของพระพม่า ที่ชอบสอนให้พิจารณาพระไตรลักษณ์กับรูปนาม หรือขันธ์ 5

ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้ว  ขันธ์ 5 ไม่ได้มีปัญหา ปัญหามันอยู่ที่ อุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่นในขันธ์ 5  ถ้าไม่มีอุปาทาน ขันธ์ 5 ก็ปกติดี ไม่ได้ส่งผลให้เกิดบาปได้

พระพม่านั้น จะเน้นลงไปที่ขันธ์ 5  โดยไม่เน้นลงไปที่ “อุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่นในขันธ์ 5

อวิชชาที่แปลว่า “ไม่รู้” นั้นได้แก่ ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสังขาร ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจจะ

ขันธ์ ๕ เป็นชื่อของอุปาทาน ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ หรือวางขันธ์ ๕ ไม่ได้ ก็พ้นจากภพไม่ได้ คงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน กามภพ รูปภพ อรูปภพนี้เอง มืดมนวนอยู่ในที่มืดคือ โลกนี้เอง

ได้ในคำว่า อนฺธภูโตอยํโลโก ซึ่งแปลว่า โลกนี้น่ะมืด  ผู้แสวงหาโมกขธรรม ถ้ายังติดขันธ์ ๕ อยู่ แล้วยังจะพบโมกขธรรมไม่ได้เป็นอันขาด

กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมเหล่านี้ อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ กล่าวคือ มนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหมเหล่านี้ อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕  สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรกก็พวกมีขันธ์ ๕ พวกมืดทั้งนั้น ยิ่งในโลกันตร์นรกเรียกว่า มืดใหญ่ทีเดียว

วิชชา ที่ว่านี้ หมายเอา วิชชา ๓ คือ
๑) วิปัสสนาวิชชา
๒) มโนมยิทธิวิชชา
๓) อิทธิวิธีวิชชา  แต่ถ้านับรวมตลอดถึงอภิญญา ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของวิชชาเข้าด้วยกัน แล้วรวมกันเป็น ๘ คือ
๔) ทิพพจักขุวิชชา
๕) ทิพพโสตวิชชา
๖) ปรจิตตวิชชา
๗) ปุพเพนิวาสวิชชา
๘) อาสวักขยวิชชา

..............................................................

ต่อไปนี้ จักแสดงถึงวิชชา และจะยกเอาวิปัสสนาวิชชา ขึ้นแสดงก่อน

วิปัสสนาคำนี้ แปลตามศัพท์ว่า เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ หรือนัยหนึ่งว่า เห็นต่างๆ

เห็นอะไร? เห็นนามรูป, แจ้งอย่างไร? แจ้งโดยสามัญลักษณะว่า เป็นของไม่เที่ยง เต็มไปด้วยทุกข์และเป็นอนัตตา ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา

ข้อความในส่วนนี้ จะเห็นว่า คล้ายกันกับการสอนของพระพม่า  แต่ที่ไม่คล้ายก็คือ พระพม่าไม่ยอมเห็น โจมตีการเห็นเสียด้วย  ส่วนวิชาธรรมกายนั้น เห็นกันจริงๆ จังๆ และยกย่องการเห็น

มีข้อสำคัญที่ว่า เห็นอย่างไร? เป็นเรื่องแสดงยากอยู่ เห็นด้วยตาเรานี่ หรือเห็นด้วยอะไร? ตามนุษย์ไม่เห็น ต้องหลับตาของมนุษย์เสีย ส่งใจไปจดจ่ออยู่ที่ ศูนย์ดวงปฐมมรรค

เห็น จำ คิด รู้ มีอยู่ในดวงปฐมมรรคนั้น ตากายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหมไม่เห็น ก็เพราะว่าพวกเหล่านี้ยังไม่พ้นโลก เสมือนลูกไก่อยู่ในกระเปาะไข่ จะให้แลลอดออกไปเห็นข้างนอกย่อมไม่ได้ เพราะอยู่ในกระเปาะของตัว เพราะโลกมันบัง ด้วยเหตุว่าโลกมันมืดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
พวกเหล่านี้ จึงไม่สามารถจะเห็น กล่าวคือ พวกที่บำเพ็ญได้จนถึงชั้นรูปฌานและอรูปฌานก็ยังอยู่ในกระเปาะภพของตัวยังอยู่ จำพวกโลกหรือที่เรียกกันว่า ฌานโลกีย์ ยังเรียกวิปัสสนาไม่ได้ เรียกสมถะได้

แต่อย่างไรก็ดี วิปัสสนาก็ต้องอาศัยทางสมถะเป็นรากฐานก่อนจึงจะก้าวขึ้นสู่ชั้นวิปัสสนาได้

การบำเพ็ญสมถะนั้น ส่งจิตเพ่งดวงปฐมมรรคตรงศูนย์ คือ กึ่งกลางกายภายในตรงกลางพอดี ไม่เหลื่อมซ้ายขวาหน้าหลัง  

แล้วเลื่อนสูงขึ้น ๒ นิ้ว  เมื่อถูกส่วนก็จะเห็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ภายในตามลำดับ

จากกายมนุษย์เข้าไป พิจารณาประกอบธาตุธรรมถูกส่วน รูปจะกะเทาะล่อนออกจากกัน เห็นตามลำดับเข้าไป

กายมนุษย์กะเทาะออกเห็นกายทิพย์
กายทิพย์กะเทาะออกเห็นกายรูปพรหม
กายรูปพรหมกะเทาะออกเห็นกายอรูปพรหม

ในเมื่อประกอบธาตุธรรมถูกส่วน วอกแวกไม่เห็น นิ่งหยุดจึงเห็น หยาบไม่เห็น ละเอียดจึงเห็น อาตาปี สัมปชาโน สติมา ประกอบความเพียรมั่นรู้อยู่เสมอไม่เผลอ

เพียงแต่ชั้นกายทิพย์เท่านั้น ก็ถอดส่งไปยังที่ต่างๆ ได้ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ได้ เหมือนตาเห็น คล้ายกับนอนหลับฝัน แต่นี่ไม่ใช่หลับ เห็นทั้งตื่นๆ

การนอนคนธรรมดาสามัญจะหลับเมื่อไรไม่รู้จะตื่นเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าถึงชั้นกายทิพย์แล้ว จะต้องการให้หลับเมื่อไร จะให้ตื่นเมื่อไรทำได้ตามใจชอบ

พวกฤาษีที่ได้บำเพ็ญฌาน เขาก็ทำได้ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในขั้นสมถะนั้นเอง

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ได้เรียนฌานมาแล้วจากในสำนักฤาษี กล่าวคือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ก็ได้ผลเพียงแค่นั้น

พระองค์เห็นว่ายังมีอะไรดียิ่งกว่านั้น จึงได้ประกอบพระมหาวิริยะบำเพ็ญเพียรต่อไป จนในที่สุด พระองค์ได้บรรลุ “วิปัสสนาวิชชา

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จึงมองเห็นสามัญลักษณะ เห็นนามรูปด้วยตาธรรมกาย เพราะพระองค์ทะลุกระเปาะไข่คือ โลกออกมาได้แล้ว

พระองค์เห็นโลกหมดทั่วทุกโลกด้วยตาธรรมกาย พระองค์รู้ด้วยญาณธรรมกาย ผิดกว่าพวกกายทิพย์ รูปพรหม และอรูปพรหมเหล่านั้น เพราะ พวกเหล่านั้นรู้ด้วยวิญญาณ แต่พระองค์รู้ด้วยญาณ จึงผิดกัน

สภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ พระองค์รู้เห็นหมด แต่มิใช่รู้ก่อนเห็น พระองค์เห็นก่อนรู้ทั้งสิ้น

การเห็นรูปด้วยตามนุษย์ อย่างเช่น พระยะสะกับพวกไปพบซากศพและช่วยกันเผา ขณะเผาได้เห็นศพนั้น มีการแปรผันไปต่างๆ

เดิมเป็นตัวคนอยู่เต็มทั้งตัว รูปร่างสี สัณฐานก็เป็นรูปคน ครั้นถูกความร้อนของไฟเผาลนสีก็ดำด่างแปรไปดำจนคล้ายตะโก หดสั้นเล็กลงทุกทีๆ แล้วแขนขาหลุดจากกัน จนดูไม่ออกว่าเป็นร่างคนหรือสัตว์

ไม่เพียงเท่านั้น ครั้นเนื้อถูกไฟกินหมดก็เหลือแต่กระดูกเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ในที่สุดกระดูกเหล่านั้น แห้งเปราะแตกจากกันล้วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนดูไม่ออกว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือกระดูกมนุษย์

พระยะสะปลงสังเวชถึงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แห่งสังขารร่างกายที่เป็นซากศพนั้น แม้กระนั้นก็ยังไม่ทำให้บรรลุมรรคผล จนกว่าจะได้ไปพบพระพุทธเจ้าจึงบรรลุมรรคผล

นี่ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า เห็นด้วยตามนุษย์ไม่ทำให้บรรลุมรรคผล ได้อย่างมากก็เป็น เพียงปัจจัย เพื่อจะให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น


การเห็นด้วยตาทิพย์ ตารูปพรหม และอรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน เป็นเพียงปัจจัยเพื่อให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น ต้องเห็นด้วยตาธรรมกายจึงจะบรรลุมรรคผลได้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น